รหัสบัตรเครดิตมาจากไหน

รหัสบัตรเครดิตมาจากไหน

[two_third valign=”top” animation=”none”]

รหัสบัตรเครดิตมาจากไหน

[/two_third]

[one_third_last valign=”top” animation=”none”]

[space]

[/space]

[progress_bar value=”85″ direction=”left” size=”small” style=”solid” bg_color=”#02687a”]

[/progress_bar]

[/one_third_last]

คุณรู้หรือไม่ว่าบัตรเครดิตมาใบหนึ่งจะมีข้อมูลบนบัตร ชื่อนามสกุลบนบัตร ( Emboss Name) หมายเลขบัตรเครดิต Visa หรือ Master Card วันหมดอายุของบัตร (expire date) และรหัสบัตรเครดิต 3 ตัวท้ายที่ปรากฏอยู่หลังบัตรเครดิต (CVC code) สำหรับในการทาธุรกรรมต่างๆ การจับจ่ายซื้อของโดยทั่วไปรหัสบัตรเครดิตมาจากไหน

การซื้อโดยการรูดบัตรเครดิตในปัจจุบันแค่มีบัตรเครดิตเมื่อซื้อของยอดต่ำกว่า 700 บาท อาจไม่ต้องเปลืองน้ำหมึกเซ็นชื่อเลย ก็สามารถซื้อหักจากบัญชีเรียบร้อยแล้ว นั่นคือในกรณีที่มีบัตรรูด แต่ถ้าบัตรอยู่กับเรา เราก็อุ่นใจได้ว่าเหตุการณ์ในแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น แต่เวลาเราให้บัตรไปโดยไม่สนใจก็มีกรณีที่เกิดจากพนักงานในร้านเป็นต้น สำหรับการซื้อสินค้าหรือทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ เลข 3 ตัวท้ายที่ปรากฏอยู่หลังบัตรเครดิต (CVC code) คือ (CVC, CVV2) เป็นเลขที่ใช้ยืนยันบัตร

สำหรับรหัสบัตรเครดิต (3-D Secure ) นั้นไม่มีปรากฏอยู่ในบัตรเลย เพราะเจ้าของบัตรต้องทำการลงทะเบียนเพื่อขอรับรหัสบัตรเครดิต ซึ่งขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินร่วมมือกับ บริษัท VISA International / บริษัท Master Card International ร่วมกันพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเครดิตทางอินเตอร์เน็ตรหัสบัตรเครดิตแบบนี้ไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งบริการนี้ พร้อมให้บริการเฉพาะร้านค้าที่ลงทะเบียน 3-D Secure ไว้กับบริษัทบัตรเครดิต

CVC code ต่างจาก 3-D secure อย่างไร

การใช้บัตรเครดิตซื้อของทางอินเตอร์เน็ตโดยทั่วไปจะต้องแจ้งรายละเอียดของบัตรและ รหัสบัตรเครดิต 3 ตัวท้ายที่ปรากฏอยู่หลังบัตรเครดิต (CVC code) คือ (CVC, CVV2) โดยการแบ่งตามชนิดของบัตร ได้แก่ CVC – Card Verification Code (บัตรMaster Card) และ CVV2 – Card Verification Value2 (บัตร VISA) มีความสำคัญเหมือนรหัส ATM หากผู้ใช้บัตรเครดิตไม่รู้ความสำคัญของรหัสบัตร โดยเฉพาะผู้ที่ทำบัตรเครดิตในยุคปัจจุบัน จะเกิดผลกระทบกับผู้ใช้บัตรเป็นอย่างมากเนื่องจากถ้าคนอื่นรู้ก็สามารถที่จะนำไปซื้อของทางอินเตอร์เน็ตได้ จึงให้มีการลงทะเบียนตั้งรหัสบัตรเครดิต 3-D Secure เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเครดิตทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น

ขอบคุณภาพจาก : www.ktb.co.th

 

 

คุณกำลังพลาด!!